สวัสดีครับ บล็อกพระอนุพุทธวันนี้ ก็จะพูดถึงเรื่องของพระอัญญาโกณฑัญญะต่อจากตอนก่อนครับ
หลังจากท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ และปัญญจวคีย์ได้บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์แล้ว พระบรมศาสดาได้ให้ท่านทั้งหลายออกไปแผยแผ่คำสั่งสอนของพระองค์ ให้ประชาชนทั้งหลาย จนทำให้มีผู้เกิดศรัทธา เข้ามาบวชเป็นภิกษุมากมาย
และในเวลาต่อมา สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค เสด็จถึงพระเชตวันมหาวิหาร สถิตอยู่ ณ ที่นั้น ประทับบนพระพุทธอาสน์อย่างดีที่เขาจัดไว้แล้ว ทรงแสดงธรรมท่ามกลางภิกษุสงฆ์เพื่อทรงแสดงว่า โกณฑัญญะ บุตรเราเป็นยอดระหว่างเหล่าภิกษุผู้แทงตลอดธรรมก่อนใคร จึงทรงสถาปนาท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะในทาง "รัตตัญญู" แปลว่า"ผู้รู้ราตรี" หมายความว่า ผู้รู้กาลนาน, ผู้มีอายุมาก จำกิจการต่างๆ ได้มาก
เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เนื่องในอดีตกาลล่วงมาแล้วถึง๑๐๐,๐๐๐กัปป์ สมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระนามว่า ปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอุบัติขึ้นในโลก มีภิกษุแสนรูปเป็นบริวาร เสด็จเที่ยวภิกษาในเมืองน้อยใหญ่ต่าง ๆ เพื่อสงเคราะห์มหาชน ครั้นเมื่อเสด็จถึงกรุง หังสวดี มหาราชาผู้เป็นพระพุทธบิดาทรงทราบข่าวว่า พระศาสดานั้นเสด็จมา จึงได้เสด็จออกไปต้อนรับ
พระศาสดาได้ตรัสธรรมกถาแด่พระพุทธบิดา จบเทศนา บางพวกเป็นพระโสดาบัน บางพวกเป็นพระสกทาคามี บางพวกเป็นพระอนาคามี บางพวกบรรลุพระอรหัต พระราชาทรงนิมนต์พระทศพล เพื่อเสวยภัตตาหารและถวายมหาทานในพระราชนิเวศน์ของพระองค์แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีภิกษุแสนรูปเป็นบริวารในวันรุ่งขึ้น พระศาสดาทรงกระทำภัตตานุโมทนาแล้วเสด็จไปพระวิหารตามเดิม โดยการถวายทานนั้น ได้ถวายทานตลอดกาลยืดยาวนาน สลับกันไปกับชาวเมือง เมื่อวันรุ่งขึ้นมหาราชาถวาย วันต่อมา ก็เป็นบรรดาชาวเมืองถวาย
ในครั้งนั้น พระเถระอัญญาโกณฑัญญะนี้ บังเกิดในตระกูลคฤหบดีมหาศาล กรุงหังสวดี วันหนึ่ง ในเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ท่านเห็นชาวกรุงหังสวดีต่างถือของหอมและดอกไม้เป็นต้นเพื่อนำไปบูชาคารวะแด่พระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ ท่านจึงได้ตามไปยังที่แสดงธรรม พร้อมกับมหาชนนั้น สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า พระปทุมุตตระ ทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งผู้แทงตลอดธรรมก่อนในพระศาสนาของพระองค์ ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ พระเถระในสมัยที่เป็นกุลบุตรนั้นได้สดับเหตุนั้นแล้วคิดว่า “ภิกษุนี้ช่างเป็นผู้ยิ่งใหญ่จริง ได้ยินว่า เว้นพระพุทธเจ้า ผู้อื่นชื่อว่าผู้รู้แจ้งแทงตลอดธรรมก่อนภิกษุนี้ ย่อมไม่มี แม้ตัวเราเองก็อยากเป็นผู้สามารถรู้แจ้งแทงตลอดธรรมก่อนผู้ใด ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต”
ครั้นเมื่อจบพระธรรมเทศนา จึงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า นิมนต์ว่า พรุ่งนี้ขอพระองค์โปรดทรงรับภิกษาของข้าพระองค์ พระศาสดาทรงรับนิมนต์แล้ว กุลบุตรนั้นถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วกระทำประทักษิณ แล้วก็จากไปยังที่อยู่ของตน จากนั้นได้ตกแต่งประดับที่ประทับนั่งสำหรับพระพุทธเจ้า ด้วยของหอมและพวงมาลัยเป็นต้น ให้จัดของควรเคี้ยวและควรบริโภคอันประณีต ตลอดคืนยังรุ่ง
ในเช้าวันต่อม่ากุลบุตรนั้นได้ถวายข้าวสาลีหอมมีแกงและกับข้าวต่างๆ รส มีข้าวยาคูและของเคี้ยวอันวิจิตรเป็นบริวาร แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีภิกษุ ๑๐๐,๐๐๐ รูปเป็นบริวาร ในที่อยู่ของตน ในเวลาเสร็จภัตกิจ ได้วางผ้าคู่พอทำจีวรได้สามผืน ใกล้พระบาทของพระตถาคต คิดว่า
“เราไม่ได้ขอเพื่อประโยชน์แก่ตำแหน่งเล็กน้อย เราปรารถนาตำแหน่งใหญ่จึงขอ แต่เราไม่อาจให้ทานเพียงวันเดียวเท่านั้นแล้วปรารถนาตำแหน่งนั้น เราจักถวายทานตลอด ๗ วัน ติดต่อกันไป แล้วจึงจักปรารถนา”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงถวายมหาทาน ๗ วัน ในเวลาเสร็จภัตกิจ ได้ให้เปิดคลังผ้าวางผ้าเนื้อละเอียดอย่างดีเยี่ยม ไว้ใกล้พระบาทแห่งพระพุทธเจ้า ให้ภิกษุ ๑๐๐,๐๐๐ รูปครองไตรจีวรแล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท้าย ๗ วันแต่วันนี้ ขอข้าพระองค์พึงเป็นผู้สามารถบวชในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้จะอุบัติในอนาคต แล้วรู้แจ้งได้ก่อนเหมือนภิกษุนี้” แล้วหมอบศีรษะลงใกล้พระบาทของพระศาสดา
พระศาสดาทรงสดับคำนั้นแล้ว ทรงส่งอนาคตังสญาณไปตรวจดูว่า กุลบุตรนี้ได้กระทำบุญญาธิการไว้มาก ความปรารถนาของเธอจักสำเร็จไหมหนอ
จริงอยู่ เมื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงรำพึงถึงอดีต อนาคตหรือปัจจุบัน ย่อมไม่มีอะไรขัดขวางเลย. เหตุที่เป็นอดีตหรือเหตุที่เป็นอนาคต ที่เป็นไปในภายในระหว่างแสนโกฏิกัปเป็นอันมากก็ดี ปัจจุบันระหว่างแสนจักรวาลก็ดี ย่อมเนื่องด้วยการนึก เนื่องด้วยมนสิการทั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้านี้ได้ทรงเห็นเหตุนี้ ด้วยญาณที่ไม่มีใครๆ ให้เป็นไปได้ว่า ในอนาคต ในที่สุดแสนกัป พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคตมะ จักอุบัติขึ้นในโลก ครั้งนั้น ความปรารถนาของกุลบุตรนี้จักสำเร็จ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับกุลบุตรนั้นอย่างนี้ว่า ” ดูก่อนกุลบุตรผู้เจริญ ในอนาคต ในที่สุดแสนกัป พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโคตมะ จักอุบัติขึ้นในโลก ท่านจักดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล อันถึงพร้อมด้วยนัยพันนัย พร้อมด้วยพรหม ๑๘ โกฏิ เวลาจบ พระธรรมจักกัปปวัตตนสูตร อันมีวนรอบ ๓ ด้วยการแสดงธรรมครั้งแรกของพระโคดมพุทธเจ้านั้น”
พระศาสดาครั้นทรงพยากรณ์กุลบุตรนั้นดังนี้แล้ว ก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนา ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เมื่อแสดงธรรมจบแล้วก็เสด็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ, สรีระของพระองค์ผู้ปรินิพพานแล้ว ได้เป็นแท่งอันเดียวกัน เหมือนก้อนทองฉะนั้น
ชนทั้งหลายได้สร้างเจดีย์บรรจุพระสรีระของพระองค์สูง ๗ โยชน์ อิฐทั้งหลายล้วนแล้วด้วยทองคำ ชนทั้งหลายใช้หรดาลและมโนสิลาแทนดินเหนียว ใช้น้ำมันงาแทนน้ำ ในเวลาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายยังทรงพระชนม์อยู่รัศมีแห่งพระสรีระแผ่ไป ๑๒ โยชน์ ก็เมื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลายปรินิพพานแล้ว รัศมีนั้นสร้านออกปกคลุมที่ร้อยโยชน์โดยรอบเลยทีเดียว
ส่วนกุลบุตรนั้นให้สร้างของที่มีค่าเท่ารัตนะพันดวงล้อมเจดีย์บรรจุพระสรีระของพระพุทธเจ้า กุลบุตรนั้นกระทำกัลยาณกรรม ล้วนแล้วด้วยทานใหญ่โตถึงแสนปี เมื่อตายจากอัตภาพนั้นแล้ว ก็บังเกิดในสวรรค์